ด้วยความเคารพ |
คำพิพากษาศาลฎีกานี้
ผมไม่เห็นด้วย
28.11.2561 : ผ่าประเด็น บริหาร “ฅน” ชี้ถูกผิด “กฎหมายแรงงาน”
เชิญอ่านบทวิเคราะห์ด้านล่างได้บางส่วน ซึ่งสามารถอ่านได้จาก pdf file โปรดเลื่อนไปล่างสุดเพื่อคลิ๊กเปิด | ด้วยความเคารพ | คำพิพากษาศาลฎีกานี้ ผมไม่เห็นด้วย
✺หลักกฎหมายที่ถูกบัญญัติไว้ ก็เพื่อให้ศาลสถิตยุติธรรมได้ใช้ในการพิพากษาอรรถคดีให้เกิดความถูกต้อง เป็นธรรม มิเช่นนั้น “กฎหมายก็ไม่เป็นกฎหมาย” บรรทัดฐานก็จะแกว่งไปมา หาจุดยืนไม่ได้
►ผมไม่สบายใจในบรรทัดฐานของศาลฎีกา แผนกคดีแรงงานอยู่ฎีกาหนึ่งครับ ซึ่งก็ต้องบอกไว้ก่อนว่าด้วยความเคารพจริงๆ ผมไม่อาจเห็นด้วยและคล้อยตามที่ท่านพิพากษาออกมาได้จริงๆ โดยปราศจากอคติใดๆ นะครับ ขอให้อ่านด้วยใจเป็นกลางเป็นธรรม ใช้ตรรกะและเหตุผลตรองไปด้วยกันดีๆ อย่าเชื่อไม่ลืมหูลืมตา! จึงอยากจะฝากถึงเราๆ ท่านๆ ว่าไม่ใช่สักแต่อ่านฎีกาเอามาอ้างอิงตะพึดพะพือ (✵จำไว้นะครับว่าคำพิพากษาศาลไม่ใช่กฎหมายนะครับ แต่อาจเป็นที่มาของกฎหมาย อาจถูกกลับคำพิพากษาได้ หากทนายความ นักกฎหมาย ผู้อุทธรณ์ฎีกามีความเก่ง ฉลาดเฉลียว เข้าใจลึกซึ้งถึงรากเหง้าของมัน) การอ้างอิงฎีกาที่บริสุทธิ์ (คือไม่มีช่องให้เจาะว่าไม่ใช่ หรือไม่ถูก) ก็สมควรนำมาอ้างไปได้ ถ้าทะแม่งๆ ก็ทำคำฟ้อง คำให้การ อุทธรณ์ แก้อุทธรณ์ ฎีกาหรือแก้ฎีกากันให้นำไปสู่การสะกิดศาล จนต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตามกลับคำพิพากษาศาลฎีกาให้ได้ ปรากฏการณ์แบบนี้ไม่ใช่ไม่เคยมี มีเยอะมากครับ ต้องอย่าเชื่อฎีกาจนถอนตัวไม่ขึ้นเรียกว่า "บ้า" ฉะนั้นฎีกาไหนๆ หากสอดคล้องกับตัวบทกฎหมายที่บัญญัติไว้ก็ถือปฏิบัติไป แต่หากอ่านไปงั้นๆ ไปหยิบจับ Search หา ค้นเจอ แล้วไม่ลองหัดวิเคราะห์เจาะลึกๆ ก็เท่ากับเชื่อตามที่พิพากษามา อย่างนี้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมจะพัฒนาไปได้อย่างไร ต้องหัดใช้สมองส่วนคิด-วิเคราะห์-แยกแยะทำงานหนักๆ หน่อยก็ดี หากผมสู้คดีและฎีกาเอง ผมจะต้องอ้างละเอียด ชี้ให้ศาลฎีกาท่านเห็น ให้คล้อยตาม (ถ้าชี้ไม่เห็น ท่านก็ตัดสินลวกๆ ได้) แต่นี่ทนายความหรือผู้ฎีกาไม่ได้เขียนฎีกาให้ครอบคลุม ไม่ชี้ให้เห็น ศาลท่านก็ปุถุชนฅนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ตำรากฎหมายเดียวกันแต่อาการ "✵สองฅนยลตามช่อง" ครับคนหนึ่งเห็นโคลนตม คนหนึ่งเห็นดวงดาวอยู่พราวพราย ฉะนั้นอาการพลาดไม่ใช่จะไม่มี ต่อให้ข้อกฎหมายแม่นๆ ก็เถอะครับ สี่ตีนยังรู้พลาดอ่ะนะ
✵คำพิพากษาศาลฎีกาที่จะเล่าให้ฟังนี้ ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้เสียอะไรกับคดีที่ศาลตัดสินเลยนะ แต่ผมเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่เคยมีนักกฎหมายฅนไหนเห็นเลย ทั้งๆ ที่ตัดสินมาตั้งแต่ปี 2547 นี่ปาเข้าไปปีนี้ 2561 ก็ 15 ปีเข้าไปแล้ว ผมมองด้วยสุจริต วิพากษ์ด้วยการฝึกให้มองอะไรดีๆ ถี่ถ้วนหน่อย หากปล่อยให้บรรทัดฐานเช่นนี้ทำได้ ทำกันใหญ่ ไปกันใหญ่ และจะเป็นปัญหาให้เชื่อตามๆ กันมาจนไม่มีใครกล้าลุกขึ้นฎีกาให้กลับคำพิพากษา แต่หากเป็นผม ผม “ทำ” แน่ครับ ลองมาดูกันครับ เพราะที่ผมไม่เห็นด้วยมี 1 คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน เป็นหนึ่งเรื่องการพิพากษาใน “คดี…ไม่เป็นธรรม” ซึ่งมีอยู่ใน 2 กฎหมาย ได้แก่
1. ✵คดีการกระทำอันไม่เป็นธรรม ตาม พรส. (พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518) ซึ่งกล่าวถึงอำนาจหน้าที่ของ ครส. หรือ คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ กับ
2. ✵คดีการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ตาม พศร. (พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522) ซึ่งกล่าวถึงอำนาจของศาลไว้
►มันคืออะไรนะหรือ ตามผมมาไขความกระจ่างว่าทำไม ผมไม่อาจเห็นด้วยได้จริงๆ รับรอง Long Story เรื่องมันยาวแน่นอนครับบทความวิเคราะห์ชิ้นนี้ เอ้า! เริ่มจาก คดีการกระทำอันไม่เป็นธรรมก่อนนะครับ มาดูตัวบทกฎหมายใน พรส.มาตรา 41 บัญญัติไว้ว่า
“ให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ (ครส.) มีอํานาจและหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) วินิจฉัยข้อพิพาทแรงงานตามมาตรา 23
(2) ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานตามมาตรา 24 หรือมาตรา 35 (4)
(3) ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานตามที่ได้รับแต่งตั้งหรือมอบหมาย
(4) วินิจฉัยชี้ขาดคําร้องตามมาตรา 125 และในกรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดว่าเป็นการกระทําอันไม่เป็นธรรม ให้มีอํานาจสั่งให้ ✵นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทํางาน ✵หรือให้จ่ายค่าเสียหาย ✵หรือให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติ ✵หรือไม่ปฏิบัติ ✵อย่างใดอย่างหนึ่งได้ ✵ตามที่เห็นสมควร
(5) เสนอความเห็นเกี่ยวกับการเรียกร้อง การเจรจา การระงับข้อพิพาทแรงงาน การนัดหยุดงานและการปิดงาน ตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย
(6) ตราข้อบังคับการประชุมและวางระเบียบการพิจารณาวินิจฉัย และชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน และการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดการกระทําอันไม่เป็นธรรม และการออกคําสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์”
► ผมอยากให้ดูมาตรา 41 (4) เน้นตรงคำว่า ในกรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดว่าเป็นการกระทําอันไม่เป็นธรรม ให้มีอํานาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทํางาน หรือ ให้จ่ายค่าเสียหาย หรือให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตามที่เห็นสมควร
► หมายถึงอะไร? เอาล่ะ ผมขอแยกองค์ประกอบเป็นข้อๆ ดังนี้
(1) กรณีที่ ครส. (✵คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์) ชี้ขาดว่าเป็นการกระทําอันไม่เป็นธรรม คือ นายจ้างแพ้ว่างั้นเถอะ ก็ไปดูข้อ (2) ถึง (4) ต่อไปได้เลย "3 อำนาจในการสั่ง" ของ ครส.
(2) ให้ ครส. มีอํานาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทํางาน หรือ
(3) ให้ ครส. มีอํานาจสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหาย หรือ
(4) ครส. มีอํานาจสั่งให้ผู้ฝ่าฝืน (เป็นนายจ้างก็ได้ ไม่ใช่นายจ้างก็ได้ครับ ต้องไปดูว่าใครกระทำให้เกิดการกระทำอันไม่เป็นธรรมในแต่ละมาตรา คือ มาตรา 121 , 122 , 123 เพราะการกระทำไม่เป็นธรรมมีแค่ 3 มาตรานี้แหล่ะ) ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตามที่เห็นสมควร
► พอจะตามๆ กันทันนะครับ หากไม่ทันก็ไม่รู้จะว่ายังไง ก็กรุณาอ่านทวนซ้ำวนๆ ไปใหม่ก็ไม่ว่ากันครับทำความเข้าใจช้าๆ เดี๋ยวก็ทันเองหละหน่า!!! เพราะอาจารย์จะพยายามเขียนย้ำๆ ซ้ำซากให้เน้นเข้าใจ อย่าไปรำคาญก็แล้วกัน
► แสดงว่ากฎหมาย พรส.มาตรา 41 ต้องการให้อำนาจ ครส. สั่งได้อยู่ 3 กรณี ได้แก่
(1.) รับลูกจ้างกลับเข้าทํางาน
(2.) นายจ้างจ่ายค่าเสียหาย
(3.) ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
✺ขยี้ให้ถึงใจอย่างนี้ครับ ดูดีๆ ✵มาตรา 41 ใช้คำว่า “หรือ” คั่นในแต่ละอำนาจ และ “หรือ” นั้น เป็นคำสันธานเชื่อมความเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งครับ อย่าเพิ่งเชื่อผม ไปดูเลย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 หน้า 1310 “หรือ” หมายความว่า “✺คำบอกความให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น จะเอาเงินหรือทอง ; คำประกอบกับประโยคคำถาม เช่น ไปหรือ?”
► มันก็ชัดเจนครับว่า ครส. ใช้อำนาจได้แต่ต้องเลือกว่าจะสั่งได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น (1 ใน 3 อำนาจ) ตามความหมายในพจนานุกรมฯ จึงจะถูกต้อง เอาครับผมจะเจาะลึกให้ลึกลงไปอีก ยังเหลือที่ต้องวิเคราะห์ต่อไปดูให้ดีๆ ตรง พรส.มาตรา 41 คำว่า "หรือ" สุดท้ายที่บัญญัติว่า “✵หรือให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติ ✵หรือไม่ปฏิบัติ ✺อย่างใดอย่างหนึ่งได้ ✺ตามที่เห็นสมควร”
► จะเห็นเหมือนผมเห็นมั๊ย มันมีคำว่า “✺อย่างใดอย่างหนึ่ง” คำนี้ มีความหมายลึกซึ้งครับในแง่กฎหมาย ผมจึงขออ้างอิงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งมีการถกถึงหลักการใช้ถ้อยคำ “ใด-หนึ่ง” กับ “หนึ่ง-ใด” คณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นสมควรยึดถือเอาตามที่ถือปฏิบัติอยู่ และสมควรจะได้มีการรวบรวมที่มาและเหตุผลของหลักการใช้คำเหล่านี้เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อใช้อ้างอิงในการร่างกฎหมายต่อไป [✵อ้างอิง : บันทึกการประชุมฝ่ายร่างกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ครั้งที่ 5/2545 วันพุธ ที่ 11 กันยายน 2545 และอาจารย์กฤษฎ์ได้นำเนื้อหาเต็มมาไว้ในตอนท้ายของบันทึกหมายเหตุ เอาไว้อ้าง ไว้อิง แล้วทั้งหมดไปอ่านได้ครับ] กล่าวคือ ???? พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ซึ่งทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งทางด้านนิติศาสตร์และอักษรศาสตร์ ได้ให้ความเห็นถึงความหมายของคำว่า “คนหนึ่งคนใด” และ “คนใดคนหนึ่ง” ซึ่งเสด็จในกรมฯได้ประทานความเห็น สรุปได้ดังนี้
“✺คนหนึ่งคนใด” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “any person” หมายถึงคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้ และ
► คำว่า “✺คนใดคนหนึ่ง” ตรงกับคำว่า “a person” ซึ่งหมายถึงคนหนึ่งและคนเดียว
► และสามารถนำหลักเกณฑ์นี้ไปใช้กับกรณีที่นำคำว่า “✵ใด-หนึ่ง” หรือ “✵หนึ่ง-ใด”ประกอบกับ คำอื่น เช่น “ข้อใดข้อหนึ่ง” หรือ “สิ่งหนึ่งสิ่งใด” ได้และมีนัยเช่นเดียวกัน
► ฉะนั้น คำว่า “✵อย่างใดอย่างหนึ่ง” จึงมีความหมายอย่างแคบคือ อย่างหนึ่งและอย่างเดียวครับ ครส.จะไปซี้ซั๊วใช้อำนาจหลายอย่างเปรอะเลอะเทอะไปหมดนั้นดูจะไม่งามและไม่เป็นการถูกต้อง
✵เมื่อเข้าใจกันแล้วอาจารย์กฤษฎ์ อุทัยรัตน์ ขอคัดคำพิพากษาศาลฎีกา (ย่อ) ที่พิพากษากรณีการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามมาตรานี้มาให้พิจารณากัน ดังนี้ครับ
⚖️ ️คำพิพากษาฎีกาที่ 8667/2547 | เมื่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์วินิจฉัยชี้ขาดว่า นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121 แล้ว ก็ย่อมมีอำนาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานและชดใช้ค่าเสียหายโดยใช้ดุลพินิจกำหนดค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย นับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันรับกลับเข้าทำงานตาม พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 41 (4) ได้ ไม่มีข้อจำกัดว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จะมีคำสั่งให้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
✵คำพิพากษาศาลฎีกานี้เองครับที่ผมไม่อาจเห็นด้วยได้จริงๆ พยายามทำใจ คิดวกวนให้เชื่อแล้วนะ แต่มันก็เหมือนโกหกใจตัวเองให้ต้องไปยอมรับตามคำพิพากษาศาลฎีกาแบบตามน้ำไปนั้น ผมทำไม่ได้ว่ะ! มันไม่ใช่ผม เพราะเป็นการพิพากษาโดยขัด (ฝ่าฝืน) กับกฎหมายเสียเองและพิพากษาขยายขอบเขตอำนาจของ ครส. ให้ล้นๆ และกว้างไกลออกไป (พิพากษากู่ไม่กลับนอกกฎหมายไปเลย มันรับไม่ได้ครับ) ดูคำพิพากษาฎีกาที่ว่าข้างต้นนะครับ ผมจะวิเคราะห์ให้ดู (คำและประโยคในคำพิพากษาที่ตัดสินออกมา) ตามนี้…
►1. “ย่อมมีอำนาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานและชดใช้ค่าเสียหาย” ประโยคนี้ "ผิด" ครับ อันนี้พิพากษาขัดต่อ พรส.มาตรา 41 (4) ที่บัญญัติว่า “ให้มีอํานาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทํางาน หรือ ให้จ่ายค่าเสียหาย” แต่ศาลฎีกาใช้คำว่า "และ" มาแทนคำว่า "หรือ" หน้าตาเฉยเลย ทั้งๆ ที่ศาลท่านน่าจะรู้ดีว่า คำว่า “และ” เป็นคำสันธานเชื่อมความคล้อยตามกัน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 หน้า 1089 “และ” หมายความว่า “กับ , ด้วยกัน” คือเอาหลายอย่างได้ ไม่ใช่อย่างเดียว มันตรงข้ามกันกับคำว่า “หรือ” คือ เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คือเอาอย่างเดียวพออย่าเยอะ
►2. “ไม่มีข้อจำกัดว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จะมีคำสั่งให้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น” อืม! ทำอาจารย์กฤษฎ์ไปไม่เป็นเลยครับ พิพากษามาแบบนี้ เพราะ พรส.มาตรา 41 (4) ที่บัญญัติว่า “หรือให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตามที่เห็นสมควร” ก็ย่อมมีความหมายว่า ✵มีข้อจำกัด ว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จะมีคำสั่งให้โน่น นี่ นั่น ได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ครับ คำว่า “✵อย่างใดอย่างหนึ่ง” มีความหมายอย่างแคบคือ อย่างหนึ่งและอย่างเดียวครับอย่างที่เล่าให้ฟังข้างต้น จะไปบอกว่าเอ็งมีคำสั่งได้เต็มที่ จัดหนัก จัดเต็ม จัดไปตามสบายนั้น ผมว่าไม่ถูกต้องเอาเสียเลย กลายเป็น ครส.มีอำนาจล้นฟ้ากว่าศาลนะครับเนี่ย และตอนท้ายประโยค กฎหมายก็เขียนว่า “✵ตามที่เห็นสมควร” ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรเลยเถิดได้เต็มที่ ล้นๆ เกินสมควรได้นะครับ มันไม่แฟร์
► ศาลแรงงานจะมีอำนาจพิพากษาคดีเพื่อขยายอำนาจให้ ครส. ได้นั้น ต้องดูก่อนว่า บทบัญญัติของกฎหมายในมาตรา 41 (4) มิได้บัญญัติห้ามไว้ แต่เมื่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 41 (4) บัญญัติห้ามไว้ชัดเจนด้วยคำว่า “หรือ” และ “อย่างใดอย่างหนึ่ง” ✵ด้วยความเคารพ ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานก็ไม่มีสิทธิพิพากษาขยายอำนาจให้ ครส. เกินจากที่กฎหมายได้บัญญัติเอาไว้ ศาลเองก็ต้องเคารพกฎหมาย จะไปเขียนหรือตกแต่งกฎหมายขึ้นมาใหม่นั้นไม่ควร แต่ถ้าจะ "ตีความ" อันนี้เป็นอำนาจและหน้าที่ศาล ใช้ไปได้เลย "ดุลพินิจ" แปลว่า ตามใจท่าน นั่นแหละ
► เอาล่ะ ✺ทั้งหมดนั้นคือเหตุผลที่ผมไม่มีวันเห็นด้วยได้อย่างยิ่งครับ ต่อมา เรามาดู คดีการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม กันต่อครับ ดูที่ตัวบทกฎหมายก่อนจะอยู่ในอีกกฎหมายหนึ่ง คือ พศร.มาตรา 49 ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า “การพิจารณาคดีในกรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าการเลิกจ้างลูกจ้างผู้นั้นไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง ศาลแรงงานอาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างผู้นั้นเข้าทํางานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะที่เลิกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจทํางานร่วมกันต่อไปได้ให้ศาลแรงงานกําหนดจํานวนค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้ให้แทนโดยให้ศาลคํานึงถึงอายุของลูกจ้าง ระยะเวลาการทํางานของลูกจ้าง ความเดือดร้อนของลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้าง มูลเหตุแห่งการเลิกจ้างและเงินค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ ประกอบการพิจารณา”
► หมายถึงอะไร? เอาล่ะ ผมขอแยกองค์ประกอบเป็นข้อๆ อีกเช่นเคย ว่ากันดังนี้ครับ
(1) ในกรณีถ้าศาลแรงงาน (มีความ) เห็นว่าการเลิกจ้างลูกจ้างไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง
(2) ศาลแรงงานอาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างผู้นั้นเข้าทํางานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะที่เลิกจ้าง (กรณีศาลแรงงานเห็นว่าลูกจ้างกับนายจ้างอาจทํางานร่วมกันต่อไปได้ ไม่น่ามีปัญหาถ้าสั่งรับกลับเข้าทำงาน)
(3) ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจทํางานร่วมกันต่อไปได้ ให้ศาลแรงงานกําหนดจํานวนค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้ให้แทนโดยให้ศาลคํานึงถึงอายุของลูกจ้าง ระยะเวลาการทํางานของลูกจ้าง ความเดือดร้อนของลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้าง มูลเหตุแห่งการเลิกจ้างและเงินค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ ประกอบการพิจารณา
✺สังเกตให้ดีๆ "ไม่มีคำสันธาน" ใช้เชื่อมคำกับคำ ประโยคกับประโยค หรือข้อความกับข้อความเลยนะครับ แต่ทว่ามันมีการแบ่งแยกชัดๆ ในตัวบทกฎหมายด้วยเงื่อนไขไว้แล้วครับ ดูในองค์ประกอบที่ผมแยกข้อ (2) กับ ข้อ (3) นั่นปะไร มันมี✺เงื่อนไขอยู่ 2 เงื่อนไขให้ศาลเลือกพิพากษาว่า 'อาจ' หรือ 'ไม่อาจ' ไงล่ะครับ ตรงนี้มันแทนคำสันธานว่า “หรือ” ไปในตัวครับ
► เงื่อนไขที่ 1 : ✺ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าลูกจ้างกับนายจ้างอาจทํางานร่วมกันต่อไปได้
► เงื่อนไขที่ 2 : ✺ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจทํางานร่วมกันต่อไปได้
► ซึ่งถ้าศาลแรงงานเลือก ✺เงื่อนไขที่ 1 ก็ต้องพิพากษาสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างผู้นั้นเข้าทํางานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะที่เลิกจ้าง (ซึ่งการจะสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันที่รับลูกจ้างกลับเข้าทำงานไม่ได้เด็ดขาด มันผิดกฎหมาย เพราะกฎหมายไม่เปิดช่องให้ศาลขยายอำนาจตนเองในการพิพากษาคดี ฉะนั้นระหว่างที่ถูกเลิกจ้างนั้นลูกจ้างต้องไม่ได้อะไรเลยและศาลก็จะพิพากษาให้ย้อนหลังก็ไม่ได้ด้วย)
► แต่ถ้าศาลแรงงานเลือก ✺เงื่อนไขที่ 2 ก็ต้องพิพากษาให้นายจ้างจ่าย “ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม” (กฎหมายใช้คำว่า โดยกําหนดจํานวนค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้ให้แทนโดยให้ศาลคํานึงถึงอายุของลูกจ้าง ระยะเวลาการทํางานของลูกจ้าง ความเดือดร้อนของลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้าง มูลเหตุแห่งการเลิกจ้างและเงินค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ ประกอบการพิจารณา)
► ต้องเป็นแบบนี้ครับ และคำพิพากษาศาลฎีกาก็ออกมาแบบนี้จริงๆ อย่างนี้ซิ ผมเชียร์สุดลิ่มทิ่มประตูก็เพราะมัน "ถูกต้อง" กล่าวคือพิพากษาสอดคล้องกับตัวบทกฎหมายยังไงหละ
⚖️ ️คำพิพากษาฎีกาที่ 5761/2539 | การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 ศาลแรงงานอาจมีคำสั่งได้ 2 ประการ คือ
(1) ให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานต่อไป ประการหนึ่ง และ
(2) ให้นายจ้างชดใช้ค่าเสียหายแก่ลูกจ้าง ในกรณีที่เห็นว่าลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้ อีกประการหนึ่ง
► ในกรณีศาลแรงงานสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานต่อไป กฎหมายไม่ได้บัญญัติให้ศาลแรงงานมีอำนาจสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายนับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันที่รับลูกจ้างกลับเข้าทำงานด้วย
► อาจารย์กฤษฎ์ : และยังมี คำพิพากษาฎีกาที่ 7213/2546 วินิจฉัยในแนวทางเดียวกันครับ แต่หากเป็น “การกระทำอันไม่เป็นธรรม” ครส.จะมีอำนาจสั่งแหลกลาญได้เลยนะครับ (เซ็งห่านกันไปเลยทีเดียว - คือหนักกว่าเซ็งเป็ด) ตรงนี้ผมไม่เห็นด้วย ดูจะใหญ่กว่าศาล และศาลดันไปยืนยันขยายอำนาจให้ ครส. แบบที่ฎีกาข้างต้นตัดสินออกมาด้วย อาจารย์เห็นว่ายิ่งไม่ถูกกฎหมายอย่างแน่นอนครับ เท่ากับว่า ครส. เชื่อไปแล้วว่าตัวเองมีอำนาจล้นทะลัก ชั้นจะออกคำวินิจฉัยยังไงก็ได้มีศาลเป็น Back ให้ มันจะทำให้ ครส.ตัวใหญ่เป็นยักษ์เลยครับ ก็ขึ้นอยู่กับว่า ครส. ท่านจะลุแก่อำนาจหรึป่าวก็เท่านั้น แต่ผมเชื่อนะ ครส. Mind set ดีงามจะไม่เหลิงลมในอำนาจหรอกครับ แต่เพื่อความปลอดภัยหากในอนาคตใครสู้คดีการกระทำอันไม่เป็นธรรมเรื่องคำสั่งของ ครส.ในยุคสมัยนี้ อุทธรณ์และฎีกา ขอให้นำความเห็นที่อาจารย์วิเคราะห์ไปต่อสู้ รับรองฎีกาพลิก (ทับ) อย่างแน่นอนครับ ผมเชื่อใน "ตัวบทกฎหมาย" มากกว่า คำพิพากษาศาลไม่ว่าจะชั้นไหนๆ ก็ตาม เพราะคำพิพากษาที่ดีต้องตัดสินมาจากตัวบทกฎหมายเขียนไว้และได้ให้อำนาจไว้ จะไปเที่ยวปรุงแต่งเลยเถิดมโนบรรเจิดเกิดจินตนาการไกลโพ้นนั้น หาได้ไม่ แต่เขียนอุทธรณ์และฎีกาให้ดีและเขียนให้เป็น ชี้ให้ศาลท่านเห็นให้ได้ แม้ฅนเราจะมีอัตตา ความเชื่อมั่นในจุดยืนตนเองให้ตายยังไงก็ตาม แต่ไม่อาจงัดง้างเหตุผลที่ดี ถูกต้องและสุจริตได้หรอกครับ สู้ต่อไปเพื่อให้พลังยุติธรรมจงได้สถิตในตัวท่านและศาลที่เคารพ จะทำให้ฅนเกิด "ศรัทธา" ได้อย่างแน่นอน คือจงเชื่อในเหตุผลของคำตัดสิน ไม่ใช่เชื่อศาล หรือไม่ใช่เชื่อคำพิพากษาเท่านั้น หากอะไรๆ ที่มันไม่ใช่ มันจะถูก Disrupt แน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่ง
⚖️ ️คำพิพากษาฎีกาที่ 1776-1777/2543 | แม้ศาลแรงงานกลางจะมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ที่ 1 ที่ 2 เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ และเสียหายเพียงใด แต่เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องตั้งประเด็นไว้แล้วว่า จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ที่ 1 ที่ 2 โดยไม่ได้กระทำผิด เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม กับขอให้ใช้ค่าเสียหาย และศาลแรงงานกลางพิจารณาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาคดีแล้วเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ที่ 1 ที่ 2 นั้น ไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ที่ 1 ที่ 2 แล้ว ก็ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ได้ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49
► อาจารย์กฤษฎ์ : คดีนี้ศาลเลือกพิพากษาตาม เงื่อนไขที่ 2 ครับ คือ ให้นายจ้างจ่าย “ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม” และต่อให้ศาลทำงานพลาดคือ มิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ ศาลก็ไม่ผิด แค่ศาลแรงงานกลางพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วฟันธงไปได้เลย
⚖️ ️คำพิพากษาฎีกาที่ 2991-2992/2549 | พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 บัญญัติว่า “การพิจารณาคดีในกรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าการเลิกจ้างลูกจ้างผู้นั้นไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง ศาลแรงงานอาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างผู้นั้นเข้าทํางานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะที่เลิกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจทํางานร่วมกันต่อไปได้ให้ศาลแรงงานกําหนดจํานวนค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้ให้แทน…”
บทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติคุ้มครองลูกจ้าง เพื่อมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม โดยให้อำนาจศาลแรงงานที่พิจารณาคดีเลิกจ้าง มีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานทุกคดี รวมทั้งคดีที่นายจ้างเป็นรัฐวิสาหกิจ มิได้จำกัดอยู่เฉพาะแต่คดีที่นายจ้างเป็นเอกชนหรือคู่กรณีเป็นนายจ้างลูกจ้างกันตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 เท่านั้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ถูกเลิกจ้าง โดยไม่ได้กระทำความผิด ขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบห้ารับโจทก์กลับเข้าทำงานและชดใช้เงินต่างๆ เป็นคดีที่ต้องพิจารณาในกรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง
ศาลแรงงานกลางจึงนำพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 มาใช้บังคับได้ และการที่จะพิจารณาว่าเลิกจ้างไม่เป็นธรรม อันเป็นเหตุให้นายจ้างต้องรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานหรือชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ลูกจ้างตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 หรือไม่ ต้องพิจารณาที่เหตุแห่งการเลิกจ้างว่ามีเหตุจริงหรือไม่
เนื่องจากบทวิเคราะห์มีความยาวมาก จึงเกินกว่าที่ระบบจะรับไหว โปรดคลิ๊กอ่านต่อเต็มฉบับที่นี่ครับ ►Analysis Don't Agree Supreme Court by AJK