“การฝึกเป็นคนคิดบวก สามารถนำมาสร้างพลังแห่งความสำเร็จได้จริงหรือ?”
โดย นักวิทย์ศิลป์
อาจารย์กฤษฎ์ อุทัยรัตน์

“การฝึกเป็นคนคิดบวก สามารถนำสร้างพลังแห่งความสำเร็จได้จริงหรือ?”

โดย นักวิทย์ศิลป์ อาจารย์กฤษฎ์ อุทัยรัตน์

ผมได้อ่านบทความที่ถูกอ้างอิงข้อมูลจากหนังสือ How to be a Brilliant Thinker, Paul Sloane ผู้เขียน เรียบเรียงโดยทีมงาน Terrabkk.com แล้วตะหงิดๆ ยังไงไม่รู้ได้ ทำให้นักวิทย์ศิลป์อย่างผมเกิดอาการคัน ครั่นเนื้อครั่นตัวโดยฉับพลัน ขอผม...อาจารย์กฤษฎ์ อุทัยรัตน์เกาหน่อย คงไม่ว่ากันนะครับ อีตาฝรั่งฅนนี้เขียนว่างี้ครับ (ผู้เรียบเรียงไม่เกี่ยวนะจ๊ะไม่ได้ว่ากระไร) ตรงไหนที่เป็นความเห็นแทรก (ความเห็น AJK)  นั่นคือของผมนะครับ คิดซะว่าติเพื่อก่อ ในดีมีเสีย ในเสียมีดี ฝรั่งไม่ได้คิดถูกทั้งหมด ใครเป็นเพื่อนแกฝากไปบอกทีว่าผมคิดตรงกะโจทย์ของแกแบบนี้

พลังแห่งการคิดบวก สามารถช่วยเกิดแรงบันดาลใจต่างๆ มากมาย ทำให้เป็นคนฉลาดคิด มีทัศนคติเชิงบวก อันนำไปสู่การกำหนดพฤติกรรม ความคิด ความสำเร็จ ต่างจากคนที่มีพลังแห่งความคิดที่เป็นลบ ที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย ความหดหู่ เต็มไปด้วยความหวาดระแวง ไม่เชื่อมั่นศรัทธาและเห็นคุณค่าของตัวเอง 

ความเห็น AJK : การคิดลบ ในบริบทที่เผชิญกับเรื่องเลวร้าย หายนะ ถึงฆาตอะไรงี้ มันคงคิดบวกไม่ทันและไม่ไหวนะ เช่น โจรโขมยเข้าบ้าน เราคิดบวก คาดว่าให้หมดแล้วสดชื่น เดี๋ยวให้ทรัพย์สินเงินทองไปตามที่มันอยากได้ มันคงไม่ฆ่าเราหรอก เออ คิดบวกจริงนะพ่อคุณแม่คู้ณ จะตายเอาล่ะไม่ว่า หากผลการประเมินโจรมันต่ำไป แบบนี้ต้องขอคิดลบไว้บ้าง จะโลกสวยทุกสถานการณ์โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ เค้าเรียกว่าไอ้โง่ ไม่มีวัวปนครับ ซึ่งการคิดระแวงแบบนี้ก็มิได้หมายความว่าเราไม่เชื่อมั่นและไม่เห็นคุณค่าของตัวเรา โอ๊ย เราเห็นคุณค่ามากยิ่งกว่ามากเพราะต้องรักษาชีวิตและฅนในครอบครัวเราด้วยไง หรือจะคิดบวกให้มันฆ่าให้ตาย บ้าแล้ว ทุกอย่างในโลกมีภาวะย้อนแย้ง (Paradox) ทั้งนั้น ผมเคยเขียนเรื่องนี้แล้วนะ เหรียญมีด้านเดียวที่ไหนเล่า ต้องเก่งดำเนินชีวิตด้วย มองทั้งบวกและลบ ทั้ง 2 ขั้วเสมอ อย่าคิดบวกกับภยันตรายที่มาถึงตัวเราและครอบครัว

การฝึกเป็นคนคิดบวก สามารถนำสร้างพลังแห่งความสำเร็จได้จริง ด้วยวิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้ (ความเห็น AJK : สังเกตดีๆ ผู้เขียนพูดถึงการฝึกคิดบวกถ้าทำได้มันเกิดพลังทำอะไรๆ ก็สำเร็จ แต่จริงๆ ความสำเร็จเป็นผลจากการคิดบวกที่ผู้เขียนจะบอก ฉะนั้นกว่าจะสำเร็จต้อง ฝึกคิดบวก นี่ต่างหากคือโจทย์ ลองอ่านดูจะมีกี่ข้อที่สอนให้เราฝึกคิดบวก++)

1.เชื่อมั่นในตัวเอง การจะประสบความสำเร็จได้ จะต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นอันดับแรก ซึ่งหากวัดผลในระยะยาวแล้ว การมีความมั่นใจในตัวเองสำคัญกว่า การศึกษาหรือความฉลาด เปรียบเสมือนการได้ก้าวไปสู่ความสำเร็จขั้นพื้นฐาน 

ความเห็น AJK : มันพูดถึงการฝึกคิดบวกแหม็บๆ แต่ผู้เขียนให้ความเห็นแบบไม่ตอบโจทย์สักนิด มันเกี่ยวอะไรกับความเชื่อมั่นในตัวเอง นั่นต้องเป็นบริบทเรื่องทำไงให้ประสบความสำเร็จหรึปล่าว (ว่ะ) ดูๆ ไม่สัมพันธ์กันนะ ดูคนเขียนมันสับสนยังไงชอบกลอยู่ ทำไมไม่บอกว่าวิธีฝึกคิดบวกคือต้องมอง ช่างสังเกตสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ซึ่งมีแนวโน้มที่ดีที่จะทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้านำมาปรับใช้กับการดำเนินชีวิตของเรา ค่อยๆ ฝึกฝน แนวทางด้านบวกที่ดีๆ นี้ไว้ มันจะพอกพูนทำให้เราซึมซับพลังงานด้านบวก แต่ต้องคิดป้องกันไว้อีกด้านเสมอ (ด้านลบ พลังมืดต้องมี เหมือนกลางวันกับกลางคืน) เมื่ออะไรที่เราควบคุมไม่ได้และการคิดบวกนั้นผลลัพธ์ไม่ได้สวยหรู เริ่ดเลอ สำเร็จเสร็จสมไปเสียทุกครั้ง เราก็ต้องมีทางออก ทางเลือกเผื่อไว้ด้วย อย่างนี้ซิฝึกคิดบวก ไอ้ความมั่นใจไม่มั่นใจ มันแค่บอกถึงว่าเรากล้า (สำเร็จ) หรือกลัว (ล้มเหลว) อะไรที่ทำให้เรากล้า เรามั่นใจจะทำ หากกูขี้ขลาด จะมั่นใจออกป่าว จริงมั๊ย??? คุณตามผมทันนะครับ 

2.มีเป้าหมายที่ชัดเจน วางเป้าหมายชีวิตอย่างชัดเจน เพื่อเดินตามแผนที่วางไว้ เพราะหากไม่มีเป้าหมายที่แน่นอน ชีวิตคุณก็จะสะเปะสะปะและเต็มไปด้วยความเสี่ยงรอบด้าน

ความเห็น AJK : พูดถึงการฝึกคิดบวกอยู่ใช่มั๊ย (ย้ำอีก) หัวเรื่องจั่วไว้แบบนั้นนี่ จะมาพูดเรื่องเป้าหมาย  งงนะ การมีเป้าหมายชัดเจนไม่ได้เกิดจากเอ็งคิดบวก แต่เกิดจากเอ็งมีการวางแผน แล้วอยากบรรลุแผนที่เอ็งวาง เอ็งก็ต้องวางเป้าหมาย มี KPIs มาวัดป่าว? มี Timeframe มีความคืบหน้าและก้าวหน้า ถ้าไม่มีก็ “ มืดมนอนธกาล” แล้วเกี่ยวอะไรกับการฝึกคิดบวก เออ ถ้าบอกว่า การคิดบวกต้องมีเป้าหมายนะ ไม่ใช่วาดวิมานในอากาศ โลกสวยชิบหาย แต่มึงไร้ทิศทาง คิดบวกให้ตายแต่ไปต่อไม่ได้ ขาดหางเสือ เช่น ตื่นมาทุกวันคิดสิ่งดีๆ งามๆ ไม่ทำร้ายใคร ไม่ตบยุง ไม่ว่าร้ายใคร ใครว่าหรือด่าก็ปล่อยวาง ไม่เอาคืนใครทำร้ายเราก็ช่างเถอะ คิดซะว่าชาติที่แล้วเป็นหนี้มัน เคยทำกะมันไว้ก่อน (จริงหรอ ใช่หรอ) ดูอ่อนแอ และถูกรังแกได้ ซึ่งมันดีนะไอ้คิดพรรค์แบบนี้ แต่มึงบ้าแล้ว เค้าเรียกว่า “ปลอบใจตัวเอง” เป็นแนวคิดของผู้แพ้ (ใครคิดต่างจากผม ไม่ว่านะครับ ไม่มีการชี้นำใดๆ อยู่ที่มุม (ไม่ได้) มองของปัจเจกบุคคล แต่วัดเอาที่ความสำเร็จตอบโจทย์ว่าโดนป่าว) โดยไร้เป้าหมาย คิดบวกไปเรื่อยเปื่อยก็ใช่ว่าดี ควรเอาอาการโลกสวยคิดบวกไปเปลี่ยนไปบอก ไปถ่ายทอดให้ผู้คนที่หลงผิดได้เปลี่ยนมาในทิศทางที่ดี หากคิดบวกแต่ขาดการกระทำบวก ก็ไม่ต่างจากมือถือสาก ปากถือศีล ไม่รับผิดชอบ เห็นแก่ตัวได้เหมือนกัน ก็ไม่ผิดในโลกนี้ ไม่มีผิดมีถูกในเรื่องที่ไม่มีมาตรฐานชี้ชัดๆ จะๆ คุณคิดยังไงตามสบายแต่ให้ถูกตรรกะ มีเหตุมีผล ถูกกาลเทศะ และบริบท กับโจทย์ที่วางเอาไว้อย่างสัมพันธ์ลงตัว มันก็แค่นั้น

3.จินตนาการแห่งความสำเร็จ วาดภาพอนาคตแห่งความสำเร็จไว้ในหัวเสมอ เพื่อที่จะเดินไปสู่เป้าหมายอย่างที่วางแผนไว้ การได้มีชีวิตในแบบที่ต้องการอย่างที่ตั้งใจ เพื่อให้เกิดแรงจูงใจนำไปสู่ความสำเร็จ 

ความเห็น AJK : เมื่อตั้งโจทย์ที่จะบอกเล่าผิดตั้งแต่ต้นก็ต้องดั้นเมฆ ต่อให้จบ ถ้าสอนให้คิดบวก คุณแค่จินตนาการว่า... ตั้งสมมติฐานว่า... เข้าไปซิ แต่ตรองก่อนว่าผลลัพธ์มีมากกว่าหนึ่งหรือมันโคตรวาไรตี้เลยว่ะ คุณก็จงเลือกผลลัพธ์ที่ดีและเป็นบวกอันเกิดจากจินตนาการที่คุณได้คิดบวกไว้ อย่างนี้ผมว่า “โดน” แล้วกำจัดผลลัพธ์ที่จะส่งผลเสียหาย หรือด้านร้าย ด้านลบๆ ออกไป เออซิ ผมว่ามันคือการฝึกคิดบวกที่ดีนะ ไม่ใช่ “จินตนาการแห่งความสำเร็จ” โจทย์แรกไม่ได้เป็นแบบนี้ ต้องจินตนาการออกแบบความคิดอ่านที่ดีๆ บวกๆ เชิงสร้างสรรค์ซิถึงจะถูกเรื่อง “ถ้าขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน พอแตกใบอ่อนเป็นมะลิลาหรือบ้องกัญชา” ไปเสียฉิบ ก็ผิดบริบทไปหมดเลย

4.ชีวิตลิขิตเอง อย่าพยายามโทษคนอื่น หากชีวิตผิดพลาด ถ้าหากไม่มีความสุขในชีวิตปัจจุบัน ควรเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อทำให้ชีวิตดีขึ้น ไม่มีใครสามารถกำหนดชีวิตเราได้ นอกจากตัวเราเอง 

ความเห็น AJK : ถูกในคำตอบของโจทย์อีกอย่างนะคือ “จะทำไงหากพลาดหรือไม่มีความสุข?” แต่หากสอนหรือฝึกให้คิดบวกประเด็นนี้คือ ให้หมั่นฝึกฝนการคิดว่าตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน คนอื่นมาช่วยเรา คิดให้เรา เป็นกัลยาณมิตรกับเราถือเป็นบุญกุศลของเรา แต่อย่าไปแบมือยึดติดจนไม่ต้องพึ่งพาตัวเองเลยอย่างนั้นไม่ถูกครับ บัดซบเลยทีเดียว

ชีวิตกูพังเพราะตัวกู ชีวิตกูดีก็ตัวกู แล้วคิดว่าหนทางไหนจะทำให้ชีวิตมันดีสุดๆ บวกๆ เยอะๆ ก็คิดบวกไปให้สุดซอย คิดแบบคำนึงถึงผลตามมาด้วย หากอยากให้ชีวิตพังมึงก็คิดลบไปคือตรงข้ามไปได้เลย ชีวิตเป็นของเรา เราเลือกคิด เลือกใช้ เลือกดำเนินเอง จริงป่าว อย่าให้คนอื่นมามีอิทธิพลถ้าคนๆ นั้นยังไม่ถึงแก่นแท้และเก่งดำเนินชีวิต การ copy หรือเลียนแบบที่ละทิ้งความเป็นเอกลักษณ์และตัวตนของเรา ไม่ใช่การคิดบวกทำบวกนะ คุณขายจิตวิญญาณไปกับการ copy โดยไม่หวังจะคิดเองผลเสียจะตามมามากกว่าอีก อาจผิดกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาด้วยนะครับ

5.ให้กำลังใจตัวเอง บอกตัวเองเสมอว่า เราทำมันได้ หากเจอความล้มเหลว ให้คิดเสมอว่าเป็นความผิดของเรา แต่เราสามารถเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยตัวเราเอง 

ความเห็น AJK : พลังคิดบวกอย่างหนึ่งที่ต้องฝึก คือการให้กำลังใจตัวเองบนพื้นฐานของความเป็นไปได้จริง ไม่ใช่ฝันเฟื่องไปเรื่อยนะ ถ้าคุณคิดดีเดินมาถูกทางแล้วมันล้มเหลวจะไปโทษตัวเองก็บ้าแล้ว ไม่จำเป็นนะ เพราะปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้มีเยอะ จะทำให้จิตตกไปป่าวๆ (เว้นแต่คุณทำความผิด เออ ต้องโทษตัวเอง อย่าไปโทษคนอื่นล่ะกัน) ถ้าเราคิดถูก คิดดีบวกๆ แล้วทำมัน โอกาสสำเร็จกับล้มเหลวอาจเท่ากันหรือน้ำหนักเทไปทางใดทางหนึ่งก็ได้ทั้งนั้น ไม่ต้องโทษตัวเองไม่ใช่ความผิดคุณ แต่จะสอนว่าเริ่มคิดใหม่ทำใหม่ คือเปลี่ยนวิธีคิดบวกที่แตกต่างไปจากเดิมซิ

6.กำจัดแง่ลบในใจ กำจัดความคิดด้านลบ ที่มาบั่นทอนความพยายามและความมุ่งมั่นในใจของตัวเอง หมั่นสร้างทัศนคติเชิงบวก เพื่อนำไปสู่การเผชิญกับปัญหาอันนำไปสู่ประโยชน์ในระยะยาว 

ความเห็น AJK : พอไปได้ครับข้อนี้ แต่น่าจะ How to หน่อยว่าการฝึกฝนให้เราสามารถกำจัดความคิดแย่ๆ ลบๆ คืออะไร ทำยังไง ผมมองว่าคือการหยั่งเข้าถึงแนวความคิดเห็น ความรู้สึกนึกคิดที่บุคคลต่างๆ มีต่อสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งตนเอง โดยมีเหตุผลประกอบให้เยอะๆ ในทางที่ดีให้มากๆ (ใจเขาใจเรา) ฝึกการซึมซับแบบอย่างที่ดีๆ มาประยุกต์ใช้ เช่น ไม่ยึดติดและรู้จักปล่อยวาง คิดแบบผู้ใหญ่ ทำแบบเด็ก (เพราะเด็กจะกล้าทำทันที ผู้ใหญ่ลีลาเยอะ กล้าๆกลัวๆ) เลิกจับผิดคนอื่นแล้วจับผิดที่ตัวเรา อดีต ย่อมแก้ไขไม่ได้ อนาคต คือ ควัน หรือหมอกที่เรามองไม่เห็น แต่ ปัจจุบัน

คือสิ่งที่เราเห็นได้ชัดเจน และนั่น คือ หนทางการก้าวเดินอย่างมีสติ อย่าให้อารมณ์เหนือกว่าสติ การคิดลบ ไม่ใช่เรื่องที่ผิด หากการคิดลบนั้น เป็นไปเพื่อสร้างเกาะคุ้มกันภัยให้กับตนเอง ไม่จมกับทุกข์ หมั่นเรียนรู้ การมองคนอื่น มองในเชิงวิธีคิด และชื่นชมเขาในสิ่งที่เขาทำ และหันมามองที่ตัวเรา เพื่อนำวิธีคิดที่ได้มาประยุกต์ใช้กับตนเอง ไม่มีใครเหมือนกันหรอกครับ อย่าดูถูกตนเอง เพราะทุกคนมีศักยภาพในตนเอง จำไว้ว่าครั้งแรกย่อมยากเสมอ ทำซ้ำคุณภาพโดยการลงมือทำให้สม่ำเสมอด้วย เป็นต้น แล้วฝึกเอาครับ บ่อยๆ เดี๋ยวก็เปลี่ยนสันดานตนเองได้เองครับ

7.คบค้าสมาคมกับคนที่มองโลกด้านบวกเลือกคบคนที่มองโลกในด้านบวกจะทำให้เกิดแรงบันดาลใจ (อยู่กับคนคิดลบ อาจบันดาลโทสะเอา 555) และความคิดสร้างสรรค์ เพราะคนเหล่านี้จะเต็มไปด้วยแรงสนับสนุน ให้การใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง มีทัศนคติที่ดี มีความกระตือรือร้น

ความเห็น AJK : ข้อนี้ดี ต้องฝึก ต้องเปลี่ยนวิธีเลือกคบฅน คบเชิงคุณภาพอย่าปริมาณเยอะเกินไป คัดๆ หน่อย แต่ต้องเข้าฅนเก่งๆ ซึ่งก็ต้องฝึกเข้าหา แบบปราศจากผลประโยชน์ แต่ถวิลหาวิธีคิด การใช้เหตุผล ตรรกะของเขา อย่างนี้ดีครับ 

คุยกับฅนคิดและทำบวก เราจะได้บวกตามมาด้วย

8.นับสิ่งดีๆ ในชีวิตที่ผ่านมา นับสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นในชีวิต ว่ามีเรื่องราวเหล่านี้กี่อย่างที่เข้ามาในชีวิต เช่น เรื่องการศึกษา การงาน เพื่อน ความรัก สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเห็นคุณค่าของตัวเองและรู้สึกโชคดีอยู่เสมอ แต่หากเราคิดแต่เรื่องย่ำแย่ที่ผ่านมา จะทำให้รู้สึกถึงพลังทางลบและขาดแรงจูงใจในการดำเนินชีวิต 

ความเห็น AJK : ข้อนี้ดีเริ่มเข้าเค้าแล้ว แต่หัดนึกให้ออก เพื่อเสริมแรงและความภูมิใจของเรา อย่าถึงกับต้องนับเลยจะทำให้จดจ่อ ติดกับดัก กลายเป็นคนหยุมหยิมคิดเล็กคิดน้อย ขี้ระแวง ไปถึงพารานอยด์ (Paranoid) ได้ เพราะฅนเราจำก็มีวันลืม นับตกหล่นอยู่แล้ว แต่ผมเพิ่มเติมนะว่าเรื่องลบๆ ที่เกิดและผ่านมาก็หัดเอามาทบทวนซะด้วยแต่เอามาคิดแล้วเหยียบทิ้งอย่าเดินทางนั้นซ้ำอีก เพราะเป็นการย่ำยีตัวเอง ติดหล่ม รู้สึกผิด (ซึ่งมันควรผ่านอาการรู้สึกผิดตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหรึป่าวว่ะ มันผ่านเลยมาแล้ว หากมารู้สึกผิดซ้ำซาก ขุดมาจำจนเป็นตราบาปชีวิตอีก มันจะทำลายกระบวนการคิดบวกไปเลยนะ เปลืองพื้นที่รับรู้ใหม่ๆ และรกพื้นที่ที่ไป Saved ความจำเก่าๆ) ใครที่มาพูดเรื่องเลวร้ายของเราที่ผ่านมา ก็อย่าเอาไปใส่ใจ เดินหนี รังเกียจไปได้เลย ไอ้มนุษย์ย้ำคิดย้ำทำพวกนี้

แต่เรื่องลบๆ ถือซะว่าเป็นความทรงจำที่ห้ามทำซ้ำ ต้องควบคุมอย่าให้เกิดอีก แม้จะกำจัดออกจาก Memory ไม่ได้ก็ตาม ใครบอกว่าได้นั่นตอแหลเลยนะไม่ก็สมองเสื่อมถึงกับจำไม่ได้ แต่แค่อยากลืมหรือไม่อยากจำ เออ ค่อยน่าเชื่อ ทั้งหมดที่ผมบอกมานี่ มันก็เสริมวิธีการคิดบวกของคุณได้มากมายเลยทีเดียวนะ

 

9.หาสิ่งดีที่ซ่อนอยู่ ค้นหาสิ่งดีที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง ที่เกิดจากความกลัวและความไม่มั่นใจที่แสดงมันออกมา รวมถึงโอกาสใหม่ๆ ที่สามารถสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นกับตัวเองอยู่เสมอ 

ความเห็น AJK : อันนี้ไม่เกี่ยวกับ “การฝึกเป็นคนคิดบวก” ที่อีตา Paul Sloane ผู้เขียนบอกอีกล่ะ คนละบริบท ที่ถูกคือ การค้นหาตัวเองให้เจอว่าคุณมองโลกแง่ดีหรือแง่ร้าย แล้วค่อยๆ เปลี่ยน มามองโลกสวยมั่ง โดยย้อนดูตัวเองหาข้อดีที่ไม่เข้าข้างนะ มากองไว้แล้วนำข้อดีนั้นแปลงไปสู่กระบวนการคิดและทำ อย่าไปสนว่าเรื่องดีๆ จะน้อยกว่าเรื่องเลวๆ ล่ะ (เลวบริสุทธิ์ผุดผ่องคงไม่มี) เช่น เป็นคนใจดี รักหมา รักเด็ก ไม่โกง เสียสละ เป็นต้น แล้วเอามาคิดต่อยอดในทางบวก แต่เอาล่ะเรื่องเลวๆ ร้ายๆ ก็เอามาทบทวนก่อนทิ้งมันไป เพราะมันคือบทเรียนที่ดีเลยนะ แล้วตั้งข้อสังเกตว่าเราจะทำให้เรื่องเลวๆ ร้ายๆ กลายเป็นดีได้มั๊ย (เอาของเสียไปทำให้ดีและก่อประโยชน์ ทำนอง Recycle แหล่ะ) นั่นก็คือคุณคิดบวกเป็นแล้วครับ คิดให้โอกาสทำความดีทดแทนและเพิ่มเติมจากที่เคยทำไม่ดีไงล่ะครับ ถือว่าเกินพอ

10.สร้างความสมดุลแก่ชีวิต ให้ความสมดุลกับชีวิตในทุกด้าน เช่น การทำงาน เพื่อน ครอบครัว สุขภาพ รวมถึงพลังเชิงบวกจากสิ่งเล็กๆ น้อยรอบกาย ไม่ควรทำอย่างใดอย่างหนึ่งหนักเกินไป บริหารเวลาให้เป็นและจัดการกิจกรรมต่างๆของชีวิตให้เกิดความสมดุลอยู่เสมอ 

ความเห็น AJK : ผมมองการฝึกคิดบวกประเด็นนี้ว่าลองหัดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดอ่านกับทุกผู้คนที่เป็น specie บวกเหมือนๆ กัน แม้จะต่างที่ทาง ต่างตำแหน่ง ต่างเพศ ต่างวัย ต่างบุคลิกก็ตาม ในลักษณะแชร์เชิงบวก เราจะได้มุมมองแตกแขนงขยายแนวคิดแนวทางได้ล้นๆ แต่ก็เผื่อใจสกรีนน้ำๆ ออกจากเนื้อๆ ด้วยนะครับ ฅนคิดบวกไม่ได้บอกว่าบุคลิกโอเคทุกคน อาจจะมีรั่วๆ เยอะๆ มั่ง ก็ทนๆ ไป การทนนี่ก็ฝึกคิดบวกเหมือนกันนะ แต่มีลิมิตด้วย จะตัดบทกันยังไงบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นก็เป็นเรื่องศิลปะในการบริหารจัดการการสนทนาแล้วล่ะครับ การบริหารเวลาและการสร้างสมดุลชีวิตผมมองว่าไม่ใช่การฝึกเป็นคนคิดบวก แต่มันเป็นโจทย์ของ “การมีคุณภาพชีวิตที่ดีต้องทำยังไง” มากกว่า

 อ่านอะไร ให้คิดตาม หลักกาลมสูตรของพระพุทธเจ้าในศาสนาพุทธยังใช้ได้ดีชั่วนิรันดร์ อย่างไรก็ดี 10 ข้อ จากหนังสือ How to be a Brilliant Thinker ของ Paul Sloane คุณก็นำไปพิจารณาทบทวนให้เหมาะกับบริบทและความเป็นคุณ กับสังคมไทยด้วยนะครับ แม้จะไม่ใช่ประเด็นของโจทย์ในข้อที่ว่า “การฝึกเป็นคนคิดบวก สามารถนำสร้างพลังแห่งความสำเร็จได้จริง” ก็ตาม

 

อาจารย์กฤษฎ์ อุทัยรัตน์ 

นักวิทย์ศิลป์ 

ผู้เชี่ยวชาญ HRM HRD OD Strategic Management TQM ISO 

ผู้นำแห่งกฎหมายแรงงานแบบบูรณาการ อันดับหนึ่งในประเทศไทย

ผู้ไม่เคยแพ้คดีแรงงาน เชี่ยวชาญการบริหาร เข้าใจนายจ้างลูกจ้าง

 

“ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เป็นธรรม ย้ำหลักสุจริต ไม่คิดเอาเปรียบ”

 

✺Credit : อาจารย์กฤษฎ์ อุทัยรัตน์

Ref. : www.KRISZD.com

Credit : ꍏj.Kяιꌗz∂ ꀎ-✞ɧąıཞa̘̫͈̭͌͛͌̇̇̍ṭⒸ

อาจารย์กฤษฎ์ อุทัยรัตน์ นักวิทย์ศิลป์ Sc̫ίArϯίṧt

ωωω.ƘRISZD.ꉓom

KDV@KRISZD.com

#บริหารทรัพยากรบุคคล #กฎหมายแรงงานปี2560#Management #KRISZD #number1กฎหมายแรงงานในประเทศไทย #ผู้เชี่ยวชาญHRM_HRD_OD_StrategicManagement_TQM_ISO_Safety_BusinessAnalysis#AjKriszd #AJK #KDV #สภาพการจ้าง #ที่ปรึกษากฎหมายแรงงานอันดับหนึ่ง